กองทัพเรือ บูรณาการตรวจเรือบรรทุกน้ำมันดิบเดินเรือผิดเส้นทางจากกัมพูชา เบนเข็ม เข้าไทย
ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 บูรณาการร่วม กมส.สน.ฝอ.ศรชล.ภาค ๑ สนง.เจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง ด่านศุลกากรมาบตาพุด ด่านควบคุมโรคติดต่อ จว.รย. และบริษัท p&I และ ตัวแทนเจ้าของเรือบรรทุกน้ำมัน ขึ้นตรวจสอบเรือ M.T. STROVOLOS พบเหตุบริษัทฯเรือส่งเสบียงไม่มาส่งน้ำจืด น้ำมันเชื้อเพลิง เสบียงอาหาร
ในการเดินเรือไปสิงคโปร์ จึงตัดสินใจเบนเข็มเข้าไทยเพื่อขอรับการสนับสนุน และพร้อมที่จะเดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อชี้แจงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ทัพเรือเตรียมเรือรบ อากาศยาน คุมเรือส่งมอบทัพเรือกัมพูชา แนวเขตติดต่อเส้นแบริ่ง 211
จากกรณีที่ พลเรือเอก เตีย โซ๊ะคา รองผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการ กองบัญชาการทางยุทธวิธีส่วนหน้า สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการความมั่นคงทางทะเลแห่งชาติกัมพูชา ได้ประสานขอความร่วมมือมายัง พลเรือโท โกวิท อินทร์พรหม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1(ผบ.ทรภ.1) และ ผอ.ศรชล.ภาค 1 เพื่อขอความร่วมมือในการตรวจสอบ และควบคุมเรือบรรทุกน้ำมัน ชื่อ STROVOLOS MMSI:309562000 ซึ่งเดินทางออกจากแท่นขุดเจาะน้ำมัน Apsara Oil Field น่านน้ำประเทศกัมพูชา
ซึ่งขณะนี้ตรวจสอบพบว่าเรือลำนี้เดินเรือเข้าไปยังน่านน้ำไทย พื้นที่ จว.ระยอง ซึ่งเรือลำนี้เมื่อรับน้ำมันดิบเรียบร้อยแล้วจะต้องเดินทางไปส่งน้ำมันดิบที่ประเทศสิงคโปร์ จึงมีเหตุอันควรสงสัย จึงได้ขอความร่วมมือมายังกองทัพเรือไทย และสถานทูต เพื่อตรวจสอบ พร้อมผลักดันนำส่งมอบเรือให้กับประเทศกัมพูชา
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ (25 มิ.ย.2564) พลเรือโท โกวิท อินทร์พรหม ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศรชล ภาค 1 เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่า พลเรือเอกชาติชาย ศรีวรชาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของความสัมพันธ์อันดี ระหว่างกองทัพเรือทั้งสองประเทศ และภาพรวมระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก ได้มีการกำชับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทัพเรือภาคที่ 1 จึงได้บูรณาการร่วมกันระหว่าง กมส.สน.ฝอ.ศรชล.ภาค ๑ สนง.เจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง ด่านศุลกากรมาบตาพุด ด่านควบคุมโรคติดต่อ จว.รย. ตำรวจน้ำสัตหีบ บริษัท p&I และสาธารณสุขจังหวัดระยอง เพื่อขอขึ้นตรวจเรือโดยมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ผลการตรวจสอบจึงทราบ ผู้ควบคุมเรือคือ S.M. SAZZEDEEN บริษัท WORLD TANKERS MANAGEMENT PTE LTD เป็นเจ้าของเรือ จ้างงานการรับน้ำมันจากบริษัท KrisEnergy (Apsara) Company Limited เป็นเรือบรรทุกน้ำมันดิบ (Crude Oil) ปริมาณสินค้าประมาณ ๓๘,๐๐๐ ตัน โดยเอกสารการทำสินค้าระบุว่ารับน้ำมันมาจาก Apsara Oil Field ได้แจ้งทิ้งสมอ ผ่านระบบ NSW@MD บริเวณอ่าวท่าเทียบเรือการนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อทำการรับน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำจืด และเสบียงอาหาร
พลเรือโท โกวิท อินทร์พรหม กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบทางด้าน นายเรือแจ้งว่าเรือได้เดินทางออกจากสิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๖ พ.ย.๖๓ และเดินทางไปทำงานตามที่ได้รับจ้างจากบริษัท Charter (KRISENERGY) โดยมีหน้าที่กักเก็บน้ำมันที่ขุดเจาะได้จากแท่นขุดเจาะน้ำมัน Apsara และส่งต่อให้เรือที่มารับน้ำมันดิบเข้าฝั่ง โดยตลอดระยะเวลาตามเงื่อนไข บริษัทฯ Charter จะต้องนำน้ำมัน น้ำจืดและเสบียงมาส่งให้เรือในระหว่างที่ปฏิบัติงาน จนเมื่อกระทั่งประมาณต้นเดือน มิ.ย.๖๔ เรือบรรทุกน้ำมันลำนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนเสบียงและน้ำมันมันเชื้อเพลิง ตามกำหนดเวลาที่สัญญาไว้ เพื่อความปลอดภัยของเรือ เจ้าของเรือ จึงตัดสินใจให้นายเรือเบนเข็มเดินทางเข้ามาในน่านน้ำไทย
เพื่อขอรับการสนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำจืด และเสบียง อาหารที่จุดทิ้งสมอท่าเรือมาบตาพุด จว.ระยอง ประเทศไทย เมื่อรับน้ำมันเชื้อเพลิงและเสบียงเสร็จแล้ว มีกำหนดการที่จะกลับไป Apsara Oil Field ซึ่งจาการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดไม่พบว่าเรือลำนี้ได้กระทำความผิดกฎหมายในน่านน้ำไทยแต่อย่างใด จึงได้แนะนำให้นายเรือ จัดทำรายงานเพื่อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวของประเทศกัมพูชา ในกรณีที่ออกนอกเส้นทางโดยไม่ได้แจ้งขออนุญาต ส่วนการปฏิบัติในน่านน้ำไทยไม่อนุญาตให้มีการขนถ่ายน้ำมันดิบอย่างเด็ดขาด ซึ่งทางกองทัพเรือไทย จะต้องควบควบคุมเรือไปส่งให้ทางการกัมพูชาตามที่ได้รับการร้องขออีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการตรวจสอบ และการเตรียมการณ์ในเรื่องนี้ พลเรือโท โกวิท อินทร์พรหม ได้รายงานให้ พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ และ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ เพื่อทราบ แนวทางการปฏิบัติ เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมสั่งการให้กองยุทธการ ทัพเรือภาคที่ 1 ออกโทรเลขด่วนเพื่อปรับแผนการลาดตระเวนของเรือหลวงตาปี และอากาศยาน เตรียมความพร้อมในการควบคุมเรือบรรทุกน้ำมันลำนี้ เดินทางไปส่งมอบให้กับทางกองทัพเรือกัมพูชา ณ จุดนัดพบเส้นแบ่งเขตแบริ่ง 211 ที่กองทัพเรือทั้งสองประเทศลาดตระเวนร่วมกัน เหลือเพียงการรอความพร้อมของเรือบรรทุกน้ำมันที่ต้องรับเสบียง เชื้อเพลิง และน้ำจืด ในการเดินทางไปยังกัมพูชา และประเทศสิงคโปร์ ต่อไป
ภาพข่าว/พัชรพล / ณัฐภูมินทร์ ปานรักษ์ รายงานข่าว/ฐนกร เปรมสมบัติ 0814694987